“ถ้าหายแล้วต้องมาช่วยป้านะ”
ตอนทำงาน หมอติ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จากการผ่าฝีคนไข้ ทรมานทั้งใจและกาย รู้ว่าต้องอายุสั้น เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับสูงมาก ใจก็เสีย ร่างกายก็อ่อนแอ ท้อแท้ไปหมด ไม่อยากทำงาน อาจารย์หมอที่รักษาก็บอกว่าต้องเป็นพาหะนำโรคตลอดชีวิต หมอติเบิกข้าราชการได้ อาจารย์หมอก็ให้ยาที่ดีที่สุด กินไปก็ไม่หาย ทนทรมานอยู่ 3 ปี
วันหนึ่งรู้สึกอารมณ์ดี เริ่มมีสติ ใจก็คิดว่าในเมื่อแผนปัจจุบันมันไม่มีทางออก ก็ต้องมาใช้แผนโบราณ มาใช้ยาสมุนไพรดูซิ กลับมาหาป้าหมอจันทร์ เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ป้าหมอจันทร์ หัวเราะจนน้ำหมากกระเด็น บอกว่า โรคหมิ่น ๆ “โรคดีซ่าน ดีซึม” เดี๋ยวป้าจัดยาให้ กระทุ้งเชื้อโรคออกให้หมด
เป็นเวลา 3 เดือน ที่กินยากับป้าหมอจันทร์ จึงไปตรวจเชื้อ และสิ่งที่เราทรมานมา 3 ปี มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก ผลตรวจออกมา มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หมอติก็ต้องทำตามสัญญา คือไปช่วยป้าทำยา แล้วป้าก็ให้ไปเรียนแพทย์แผนไทยที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน เพิ่มเติม
ทำสมุนไพร ให้แม่
เมื่อปี 2546 หมอติพยายามหาวิธีช่วยแม่ละออง แฉล้ม ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ต้องเข้าเฝือกหลังตลอดเวลา แม่ยังเป็นโรคเข่าเสื่อมชนิดเรื้อรัง จนเดินไม่ได้ จะไปไหนมาไหนต้องคลาน ยังเป็นโรคความดันโลหิตสูง 240/110 mmHg ต้องยอมรับเลยว่า แม่อึดมาก รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรง กับทรุด เนื่องจากเป็นหลายโรค ก็เลยมีหมอหลายคนช่วยกันดูแลรักษา ช่วยกันจ่ายยา กินยาเยอะมาก ยาเป็นตะกร้าเลย กินมื้อหนึ่ง 13 เม็ด กินไปกินมา ได้โรคกระเพาะอาหาร และโรคโรคไตเพิ่มมาอีก เท้าบวม หน้าบวม กินอะไรก็อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายดำ ปวดขา ปวดเข่าและหลังมาก ยากินเอาไม่อยู่ ต้องฉีดยาทุก 3 วัน พาไปฝังเข็มทุก 7 วัน
เห็นสภาพแม่แล้ว ถ้าปล่อยไว้แม่คงอายุสั้นแน่ จึงคิดหาทาเลือกด้วยการใช้ยาสมุนไพร เริ่มต้นศึกษาเรียนรู้และนำภูมิปัญญาของตาหมอมิ่ง มาค้นหางานวิจัยสมุนไพร เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุน แล้วเริ่มปรุงยาให้แม่รับประทาน เริ่มจากยา รุถ่ายเส้นเอ็น เพื่อทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อคลายตัว และเพื่อถ่ายอาหารเก่าออกให้หมด หมอติให้แม่เลิกกินยาแก้ปวด เพื่อให้ร่างกายรับรู้ความปวดบ้าง จะได้กระตุ้นการซ่อมแซมตัวเอง แต่หมอติก็ทำครีมลูกประคบให้ทาแก้ปวดทุก ๆ 2 ชม. ก็ทดแทนยาแก้ปวดได้ แม่ก็เริ่มดีขึ้น จึงปรุงยาแก้กษัยเส้น ยาบำรุงกระดูก ให้กินเพิ่มเติมเป็นลำดับไป ร่วมกับการดูแลเรื่องอาหารเมื่อสภาพแม่ดีขึ้นก็ให้ออกกำลังกาย ตามกำลังที่สามารถทำได้ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อเข่า และหลัง และค่อย ๆ เพิ่มทุกวัน เช่น การถีบจักรยานอากาศ การชกลม การแกว่งแขน การหมุนไหล่ และการปั่นจักรยานอยู่กับที่ พอเริ่มดีขึ้น ก็ให้ฝึกโยคะที่สามารถทำได้ในผู้สูงอายุ โดยการฝึกตามซีดี วิดีโอ
หมอติใช้เวลาดูแลรักษาแม่ ทั้งให้กินยาสมุนไพร ทั้งเรื่องอาหาร และออกกำลังกาย เพียงสามเดือน แม่ก็สามารถกลับมาเดินได้เหมือนปกติ ไม่บ่นปวดอีกเลย
จนในปัจจุบันที่เขียนหนังสือนี้ (20 ต.ค. 63) แม่อายุ 84 ปี แต่ยังแข็งแรง ใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน ในสวนสมุนไพร และสวนผักปลอดสาร อย่างมีความสุข ด้วยวิถีธรรมชาติ บางวันต้องไปเรียกลงจากต้นไม้ บางวันต้องเข้าไปเตือนบอกว่า 84 ปีแล้วนะ ไม่ใช่ 48 เพราะเห็นกำลังขุดดินปลูกกล้วย
เช้า ๆ ก็ชอบแว้นมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ไปซื้อกับข้าว (เอ้า…ก็ไม่ว่ากัน เพราะห้ามไม่ทัน) สายตาก็ยังแจ่ม เพราะเพิ่งไปผ่าต้อกระจกมา สมองก็ยังดี นับตังค์นี่เป๊ะเลย ใครยืมตังค์ไป (โดยเฉพาะลูก) ไม่เคยลืม
ทั้งสิ่งที่เคยสัมผัสมาตั้งแต่เด็กในครอบครัวหมอยา และทั้งโรคไวรัสตับอักเสบบีที่เกิดกับตัวเอง จนรู้จักคำว่าจิตตก ทั้งโรคที่แม่เป็น มันเป็นเหมือนการตอกย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาบอกคนไทย ให้เชื่อมั่นสมุนไพรไทย เรามีสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดจริง ๆ ช่วยกันอนุรักษ์ ส่งเสริม และส่งต่อให้ลูกหลานไทยเถอะครับ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2547 ป้าหมอจันทร์จากไปอย่างสงบ และในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2547 หมอติลาออกจากราชการ เพื่อมาทำตามปณิธานตัวเอง และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับตา และป้า ได้เข้ามาดำเนินการจัดตั้ง คลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย ขออนุญาตอย่างถูกต้องกับกระทรวงสาธารณสุข และรวมกลุ่มพี่น้องชาวบ้านวัดถั่ว เป็น ศูนย์การเรียนรู้แพทย์พื้นบ้าน “ หมอมิ่ง ” ผลิตยาสมุนไพร และให้ความรู้ ฟรี กับนักเรียน นักศึกษา กลุ่มประชาชนที่สนใจ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและเชื่อมั่นในภูมิปัญญาสมุนไพรไทย
เล่าโดย คุณหมออนุสิฐษ์ แฉล้ม (คุณหมอติ)
อ่านตอนต่อไป บรมครูแพทย์แผนไทย