ค้นหาสินค้าหรือบทความ

    CHALAEM ORGANIC  : แฉล้ม ออร์แกนิค
    • แหล่งเรียนรู้
      • บทความ
      • ตำนานสมุนไพร
      • นวัตกรรมสมุนไพรออร์แกนิค
      • ข่าวสารและกิจกรรม
    • ผลิตภัณฑ์
    • คลินิก
      ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ คลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย
    • เกี่ยวกับเรา
      เกี่ยวกับทิพย์เกสร ติดต่อเรา
    • ค้นหาสินค้าหรือบทความ
    สุขภาพน่ารู้

    มะเร็ง…..ไม่ใช่โทษประหารชีวิต

    โพสเมื่อ 18 ส.ค. 2565

    สวัสดีค่ะสาวๆ วันนี้ก็กลับพบกับ CHALAEM : แฉล้ม อีกแล้วนะ วันนี้ CHALAEM : แฉล้ม จะมาพูดเกี่ยวกับทัศนคติเกี่ยวกับโรคมะเร็งนะคะ ว่าการเป็นมะเร็ง….ไม่ใช่โทษประหารชีวิต

    ..คนทั่วโลกเป็นมะเร็งกันมากขึ้น….ประเทศไทยก็ไม่พ้นจากกระแสโรคเหล่านี้

    …สมภารวัดชื่อดังรูปหนึ่ง  ปรารถให้ผมฟังว่า  ศพที่ไปฌาปนกิจที่เมรุเผาศพที่วัดของท่านประมาณ 50% เสียชีวิตจากมะเร็ง  ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 30 ปีที่แล้วที่ท่านมาบวชใหม่ๆ  “สมัยก่อนศพมะเร็งมาเผาที่วัด  มีซัก 10-20 % เท่านั้นเอง  ตอนนี้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า  บางศพอายุยังน้อยอยู่เลย  แค่ 20 ปีกว่าก็มี”

    ….หน่วยราชการแห่งหนึ่ง  ก่อตั้งมาได้ประมาณ 10 ปีเศษ  มีพนักงานประมาณ 30 คน  อายุอยู่ระหว่าง 30 – 55 ปี 

    ใน 3 ปีแรก  ไม่มีใครเจ็บป่วยจากมะเร็ง

    ใน 3 ปีที่สอง  มีคนเป็นมะเร็ง 1 คน  ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่

    ใน 3 ปีสุดท้าย  มีคนเป็นมะเร็ง 3 คน  ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน

    ฝรั่งเรียกมะเร็งว่า Cancer หรือบางทีพวกหมอก็เรียกกันย่อๆว่า Big C

    ศัพท์ละตินทางการแพทย์เรียกว่า Malignancy  คนในแต่ละทวีป ภูมิภาค ประเทศ จะมีอุบัติการณ์ของการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป  เพราะความแตกต่างทางกรรมพันธุ์  สภาวะแวดล้อม อาชีพ อาหาร หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

    คนในทวีปออสเตรเลีย  จะเป็นมะเร็งผิวหนังมาก  เชื่อว่าเกี่ยวกับชั้นโอโซนในอากาศเบาบาง

    คนในเมืองจีน  จะเป็นมะเร็งโพรงจมูกกันแยะ  เชื่อว่าเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ และมลภาวะ

    คนไทยจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งตับสูง  เชื่อว่าเกี่ยวกับพยาธิใบไม้ในตับ และอาหารบางชนิด

    …ประเทศไทยในปี 2015 นี้   มีคนตายจากมะเร็งประมาณ 6.5 หมื่นคน  จากผู้เสียชีวิตทั้งประเทศ 5 แสนคน  หรือคิดเป็น 14-15%  เป็นผู้ชาย 60%  ผู้หญิง 40% ซึ่งเท่ากับว่า  ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อมะเร็งมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า

    …ตัวเลขเหล่านี้ ใกล้เคียงกับผลสำรวจในประเทศจีน  ซึ่งในปี 2013 พบว่ามีอัตราการวินิจฉัยการป่วยด้วยมะเร็งถึง 3,153,600 คน/ปี หรือนาทีละ 6 คน  และพบมะเร็งปอดมากที่สุดเพราะคนจีนสูบบุหรี่จัด  ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือทั้งคนไทยและคนจีนพบมะเร็งในลำไส้เพิ่มขึ้นอย่างมาก  โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง

    “ฉันจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่” จะเป็นคำถามที่อยู่ในใจผู้ป่วยและญาติตลอดเวลา เมื่อรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง  ประสบการณ์และวุฒิภาวะของแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขในการสื่อสารและดูแลผู้ป่วยเหล่านี้มีความสำคัญมาก  หมอต้องมีทักษะหลายๆอย่างในการที่จะพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติตั้งแต่แรกวินิจฉัย  จะพูดอย่างไรไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะขวัญหายกระเจิดกระเจิงตอนกลับไปบ้าน  บางครั้งอาจต้องบอกญาติก่อน  บางครั้งอาจต้องบอกแค่ครึ่งเดียว (เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติค่อยๆทำใจ)  บางครั้งอาจต้องให้ความจริงเชิงสถิติ  และที่สำคัญคือ  อย่าทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง…

    …เริ่มมีการถกเถียงกันว่า  คำพูดที่หมอชอบพูดอยู่เสมอๆว่า “อยู่ได้ไม่เกินแค่นั้น  แค่นี้เดือน (ปี)”  เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่  เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีพยาธิสภาพของโรคไม่เหมือนกัน  มีการตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน  และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองที่แตกต่างกันไป

    …ผู้ป่วยจะอยู่ได้กี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจของผู้ป่วยนั้นมีความสำคัญมาก  ครอบครัวบางครอบครัวหมดเนื้อหมดตัวหรือเป็นหนี้สิน  เพราะแพทย์ชี้นำไม่ถูกต้อง  คนป่วยบางคนตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในโรงพยาบาล  เต็มไปด้วยสายระโยงระยางและท่อต่างๆในวาระสุดท้าย  และครอบครัวไม่มีโอกาสอยู่เคียงข้าง

    …ในอเมริกา และยุโรปเริ่มมีการพัฒนาศาสตร์ที่เรียกว่า Phychological oncology ว่าด้วยการดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง  มีคำพูดที่ว่า “ในการเกิดผลข้างเคียงด้านร่างกายจากการรักษามะเร็ง จะมีผลข้างเคียงด้านจิตใจควบคู่อยู่ด้วยเสมอ”  ศาสตร์ด้านนี้ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือด้านสังคม การปฏิบัติสมาธิภาวนา และการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆสำหรับผู้ป่วย

    …การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เป็นอีกส่วนที่มีความจำเป็นและสำคัญสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย  อันได้แก่  การบำบัดความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  การให้ยาระงับประสาทเพื่อให้นอนหลับได้ การบริหารจิต การให้คำแนะนำแก่ญาติ  เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

    โรงพยาบาลอาจดูแลผู้ป่วยได้ดีในบางภาวะเงื่อนไข  แต่การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Care) และชุมชน  อาจจะสำคัญพอๆกัน (หรือมากกว่า)  ไม่มีผู้ป่วยคนไหนอยากอยู่โรงพยาบาลนานๆ  ทุกวันนี้โรงพยาบาลบางแห่ง  เริ่มพัฒนาความร่วมมือกับท้องถิ่น (เทศบาลและอบต.) ในการจัดให้มีบุคลากรเยี่ยมบ้าน  บางแห่งมีชุดถังออกซิเจนขนาดเล็ก  ชุด Infusion set สำหรับให้ยามอร์ฟีนแก้ปวดแก่ผู้ป่วย  หรือแม้กระทั่งเตียงนอนผู้ป่วยติดเตียงให้ครอบครัวที่มีผู้ป่วยมะเร็งไปใช้ได้

    …การรักษาด้วยรูปแบบทางเลือกอื่นๆ  เช่น ยาแผนโบราณ แผนจีน การนวด การเพ่งกระแสจิต  บางครั้งถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหา  ถูกมองว่าเป็นด้านลบจากบุคลากรสาธารณสุขแผนปัจจุบัน  จริงๆแล้วศาสตร์เหล่านี้ในด้านที่เป็นคุณก็มี  แพทย์แผนปัจจุบันต้องใจกว้าง และใส่ใจหาความรู้เพิ่มเติมในศาสตร์เหล่านี้  บางครั้งอาจต้องบอกข้อดี ข้อเสียให้ฟัง แล้วให้ญาติและคนไข้ตัดสินใจเอง… ยาแผนโบราณบางตัวให้ผลที่เหลือเชื่อในผู้ป่วยมะเร็งบางราย…

    ท้ายที่สุดนี้  คำวินิจฉัยว่า “คุณเป็นมะเร็ง” ไม่ได้เป็นคำพิพากษาว่า “คุณต้องตายแน่ๆในเร็ววันนี้” แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า “คุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิถีชีวิตใหม่”  ได้แล้ว  มะเร็งเป็นโรคที่หายได้ถ้าคุณ “กล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง….”

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.doctor.or.th/article/detail/400481


    แท็ก: ทิพย์เกสร , Tipgaysorn , แฉล้ม , CHALAEM , ออร์แกนิค , Organic , ผลิตภัณฑ์ , สมุนไพร , ยาสมุนไพร , สุขภาพ , มะเร็ง

    บริษัท

    เกี่ยวกับเรา

    ติดต่อเรา

    เงื่อนไข

    นโยบายความเป็นส่วนตัว

    นโยบายการคืนสินค้าและคืนเงิน

    ช่วยเหลือ

    วิธีการชำระเงิน

    การจัดส่งสินค้า

    Copyright 2022 © TIPGAYSORN